วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เฉลย แนวคำตอบ ธงคำตอบ ข้อสอบ Law1001

   เกณฑ์การแบ่งแยกประเภทกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
ในการแบ่งประเภทของกฎหมายว่าเป็นกฎหมายเอกชนหรือมหาชนนั้น  มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาอยู่ 4 หลักเกณฑ์ด้วยกัน ทั้งนี้ ในการพิจารณาจะต้องคำนึงทั้ง 4 หลักเกณฑ์นี้ควบคู่กันไป ไม่อาจที่จะแยกคำนึงถึงหลักเกณฑ์ใดเพียงหลักเกณฑ์ได้ ดังต่อไปนี้
(1) เกณฑ์องค์กร คือ ยึดถือตัวบุคคลผู้ก่อนิติสัมพันธ์เป็นเกณฑ์ กฎหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับเอกชนหรือระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง กฎหมายเอกชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่ก่อขึ้นระหว่างเอกชนด้วยกันเท่านั้น ดังนี้ จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนนั้นกำหนดความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ (ผู้ปกครอง) ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง (ผู้อยู่ใต้ปกครอง) คือ เป็นนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อมีสถานะไม่เท่าเทียมกันหรือเป็นนิติสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจปกครองซึ่งทำขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเอง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น เป็นเรื่องของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ที่มีสถานะเหมือนกันและเท่าเทียมกัน
(2) เกณฑ์วัตถุประสงค์ คือ ยึดถือจุดประสงค์ของนิติสัมพันธ์ที่ผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่ายทำขึ้นเป็นเกณฑ์ กฎหมายมหาชน ใช้บังคับกับนิติสัมพันธ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ (public interest) คือ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมนั่นเอง เช่น สัญญาสัมปทานที่รัฐทำกับเอกชนเพื่อจัดสาธารณูปโภคต่าง ๆ กฎหมายเอกชน ใช้บังคับนิติสัมพันธ์ที่มุ่งถึงผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศของบุคคลนั้น ๆ เองเป็นหลัก
 (3) เกณฑ์วิธีการ วิธีการที่ใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ของ 2 กรณีนี้ จะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ กฎหมายมหาชนใช้สำหรับนิติสัมพันธ์ที่ไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชน) เลย รัฐสามารถออกคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตได้ และถ้ามีการฝ่าฝืน รัฐสามารถบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องไปฟ้องศาล ทั้งนี้ เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์สาธารณะในฐานะผู้กปกครอง เช่น ตำรวจจราจรให้สัญญาณหยุดรถ ถ้ารถไม่หยุดเพราะไม่สมัครใจจะหยุด ตำรวจจราจรสามารถปรับคนขับรถได้
กฎหมายเอกชน ใช้กับนิติสัมพันธ์ที่ต้องอาศัยความสมัครใจของผู้ก่อนิติสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย เนื่องจากยึดถือหลักความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะเป็นการทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จึงต้องให้มีการทำสัญญากันอย่างเสรี หากฝ่ายใดขัดขืน ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาล เพราะต่างฝ่ายต่างเสมอภาคกัน ต้องให้ศาลทำหน้าที่เป็นคนกลางเข้ามาตัดสิน
(4)  เกณฑ์เนื้อหา กฎหมายมหาชน เป็นกฎเกณฑ์ที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ระบุตัวบุคคล (กฎหมายตามภาวะวิสัย) คือ เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ได้ทั่วไปกับบุคคลใดก็ได้ไม่เฉพาะเจาะจง และตกลงยกเว้นไม่ปฏิบัติตามไม่ได้ ถือว่าเป็นกฎหมายบังคับ

** กฎหมายเอกชน ไม่ใช่กฎหมายบังคับ เอกชนสามารถตกลงผูกพันกันเป็นอย่างอื่น นอกจากกฎหมายเอกชนบัญญัติไว้ (แต่ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน) ถ้าหากเอกชนไม่ตกลงให้แตกต่างออกไป  ก็จะบังคับกันตามที่กฎหมายเอกชนบัญญัติไว้  (เท่ากับว่ากฎหมายเอกชนเป็นกฎหมายเสริมนั่นเอง) ดังนี้ เมื่อเอกชนยอมใช้กฎหมายเอกชนระหว่างกัน ทำให้กฎหมายเอกชนมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์เฉพาะเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อใช้กับบุคคลเฉพาะรายเท่านั้น (เป็นกฎหมายตามอัตวิสัย)  เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เป็นต้น
---------------------------------------------------------------///////////////////-------------------------------------------------------------------
 ความหมายของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
กฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนต่อกันในฐานะ ผู้อยู่ใต้ปกครองที่ต่างฝ่ายต่างก็เท่าเทียมกัน2
กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐและหน่วยงานของรัฐกับเอกชน  หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น ผู้ปกครอง3
---------------------------------------------------------------///////////////////-------------------------------------------------------------------
กฎหมายมหาชน หรือ PRINCIPLE OF PUBLIC LAW
กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปกครองบริหารประเทศและรวมถึงการบริการสาธารณะ

การใช้อำนาจตามกฎหมายของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนในการปกครองของผู้ปกครองนั้น หากผู้ปกครองหรือผู้ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่มากกว่าประชาชนโดยทั่วไป ได้กระทำการเบี่ยงเบนในการใช้อำนาจและหน้าที่ของตนไปในทางที่ไม่ดี จะทำให้ประชาชนภายใต้ปกครองได้รับผลกระทบที่เสียหายโดยตรงจากการเบี่ยงเบนการใช้อำนาจปกครองที่ถูกต้องของผู้ปกครองนั้น
---------------------------------------------------------------///////////////////-------------------------------------------------------------------

หลักการใช้อำนาจ การใช้อำนาจและหน้าที่ดังกล่าวจึงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานและหลักการที่เหมาะสม ซึ่งเป็นที่มาของ "หลักการใช้อำนาจหน้าที่ตามหลักกฎหมายมหาชนในการบริหารประเทศและการบริการสาธารณะของรัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ"
มีอยู่ 3 ประการสำคัญคือ
1. กระทำเพื่อให้บรรลุผลตามประสงค์ของกฎหมายเท่านั้น การใช้อำนาจและหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องกระทำเพื่อให้บรรลุผลตามประสงค์ของกฎหมายเท่านั้น คือ ผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่ในการปกครองบริหารประเทศ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจและหน้าที่ไว้ นอกจากนั้น กฎหมายจะต้องเป็นกฎหมายที่บัญญัติโดยประชาชนหรือตัวแทนประชาชนในการให้อำนาจและหน้าที่ดังกล่าว เพื่อนให้ผู้ปกครองใช้อำนาจตามกฎหมายนั้นในการทำหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพื่อประโยชน์และเป็นไปตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ
2. กระทำตามความเหมาะสมและตามสมควรเท่านั้น การใช้อำนาจและหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องกระทำตามความเหมาะสมและตามสมควรเท่านั้น คือ การใช้อำนาจและหน้าที่การปกครองเพื่อประโยชน์ของสาธารณะชนหรือของประชาชนโดยรวม ทั้งนี้เนื่องจากเป็นเรื่องที่หาข้อยุติได้ยาก เพราะเป็นเรื่องของการใช้ดุลยพินิจที่มีองค์ประกอบและเงื่อนไขหลายประการในแต่ละบุคคล แต่ละสถานการณ์ และในแต่ละสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ดีการพิจารณาในเรื่องของความเหมาะสมและสมควรจึงพิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจและหน้าที่นั้น ดั่งที่กล่าวมาว่าจะต้องเป็นประโยชน์แก่ประชาชน มีจุดมุ่งกมายเพื่อการบริการแก่สาธารณะชน
3. จะต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่ประชาชนจนเกินควร การใช้อำนาจและหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่ประชาชนจนเกินควร คือ เนื่องจากการที่ผู้ปครองมีอำนาจและหน้าที่มากกว่าและเกินกว่าที่ประชาชนมี จึงอาจทำให้สิทธิและประโยชน์บางประการของประชาชนบางส่วนต้องสูญเสียไป หรือเรียกได้ว่าเกิดภาระขึ้น ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ว่าประชาชนอาจจะต้องเกิดภาระขึ้นบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปกครองและบริหารประเทศของผู้ปกครอง แต่อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจและหน้าที่ดังกล่าวในการบริหารและปกครองประเทศจะต้องไม่มีผลกระทบและสร้างภาระแก่ประชาชนมากจนเกินควร เพราะมิฉะนั้นจะถือได้ว่าเป็นการขัดต่อหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งยึดหลักในเรื่องของความสงบสุขและความเป็นธรรมของคนในสังคม
---------------------------------------------------------------///////////////////-------------------------------------------------------------------
จงอธิบายกฎหมายมหาชนเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร
กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐและหน่วยงานของรัฐกับเอกชน  หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น ผู้ปกครองโดยเกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้าและบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็น "ผู้ใต้ปกครอง" คือ
- ด้านอำนาจนิติบัญญัติ เช่น การใช้สิทธิ์เลือกตั้ง การใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง
- ด้านอำนาจบริหาร เช่น การแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายต่างๆของรัฐ
-ด้านอำนาจตุลาการ เช่น การสู้คดี หรือ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับศาลในเรื่องต่างๆ
-ด้านอื่นๆ เช่น กฎ ระเบียบ คำสั่งทางปกครอง การกระทำทางปกครอง สัญญาทางปกครอง
---------------------------------------------------------------///////////////////-------------------------------------------------------------------
ข้อ  1  จงนำกฎหมายมหาชนไปอธิบายการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยในปัจจุบันว่า  การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
ธงคำตอบ
กฎหมายมหาชน  คือ  กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ  แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ  เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่  ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง
กฎหมายมหาชน  ปัจจุบันได้แก่  กฎหมายรัฐธรรมนูญ  และกฎหมายปกครอง
กฎหมายรัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ  ระบอบการปกครอง  การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย
กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองที่เรียกว่า  การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น  3  ส่วน  ได้แก่  ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค  และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น  ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า  กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานปกครอง  และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งปกครอง  ให้อำนาจในการออกกฎ  ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง
การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น”  เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการตามหลักการกระจายอำนาจปกครอง  โดยให้มีการจัดตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมาแยกออกจากราชการบริหารส่วนกลาง  มีงบประมาณและเจ้าหน้าที่เป็นของตนเอง  และมีความเป็นอิสระในการจัดทำบริการสาธารณะที่ได้รับมอบหมายหรือตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งปัจจุบันการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นประกอบไปด้วยหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ  5  ประเภท  ได้แก่
1       เทศบาล         2       องค์การบริหารส่วนตำบล           3       องค์การบริหารส่วนจังหวัด        4       กรุงเทพมหานคร
5       เมืองพัทยา
และการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  (รวมทั้งการบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค)  ของไทย ปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนในแง่ที่ว่ากฎหมายมหาชน ซึ่งได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์และวางหลักในการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ  รวมทั้งบัญญัติสถานะอำนาจหน้าที่แก่ฝ่ายปกครองในทางปกครองและการจัดทำบริการสาธารณะ  เพื่อสนองความต้องการของประชาชนภายในรัฐ  หากไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้  ฝ่ายปกครองก็จะไม่สามารถดำเนินการใดๆได้  เพราะตามหลักการของกฎหมายมหาชนแล้ว  ฝ่ายปกครองจะกระทำการใดๆได้  ก็ต่อเมื่อกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้เท่านั้น
ตัวอย่างที่ถือว่าการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน  เช่น  ในการจัดตั้งเทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายมหาชนได้กำหนดไว้  หรือเมื่อมีการจัดตั้งขึ้นมาแล้ว เทศบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบลนั้นจะมีอำนาจและหน้าที่ประการใดบ้าง  ก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน  (ซึ่งในที่นี้ก็คือกฎหมายปกครองนั่นเอง)  บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย  ทั้งนี้เพราะตามหลักกฎหมายมหาชนนั้น  หน่วยราชการบริหารส่วนท้องถิ่น  (รวมทั้งหน่วยราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค)  จะสามารถดำเนินการใดๆได้  ก็จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้เท่านั้น และ ในการใช้อำนาจหน้าที่ทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  ออกคำสั่งทางปกครอง  รวมทั้งการกระทำทางปกครองรูปแบบอื่นหรือการทำสัญญาทางปกครอง  หากเกิดกรณีพิพาทที่เป็นกรณีทางปกครอง  ก็จะต้องนำคดีพิพาทนั้นไปฟ้องต่อศาลปกครอง  เพื่อให้ศาลปกครองเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาด
-----------------------------------------------------------////////////////////////-------------------------------------------------------------------

จงนำกฎหมายมหาชนไปอธิบายการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยปัจจุบัน ว่าการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยปัจจุบันเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบชัดเจน
ตอบ
1. การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย มี 2 รูปแบบใหญ่ ๆ คือ
1). การปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป เป็นรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่ทั่วประเทศทุกจังหวัด มี 3 ประเภทได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
2). การปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ มีการบริหารจัดการไม่เหมือนกับรูปแบบทั่วไป จะมีขึ้นเป็นกรณีๆ ไป ส่วนใหญ่จะเป็นเขตเมืองใหญ่ เช่น เมืองหลวงหรือเมืองท่องเที่ยว ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะใช้รูปแบบทั่วไปมาใช้ในการปกครอง ปัจจุบันมีกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาที่เป็นประเภทนี้
2. กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กำหนดสถานะและนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐและหน่วยงานของรัฐกับเอกชน  หรือหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็น ผู้ปกครอง ซึ่ง กฏหมายมหาชน เป็นเรื่องของอำนาจ ได้แก่
- ด้านอำนาจนิติบัญญัติ
- ด้านอำนาจบริหาร
-ด้านอำนาจตุลาการ เช่น
-ด้านอื่นๆ เช่น กฎ ระเบียบ คำสั่งทางปกครอง การกระทำทางปกครอง และ สัญญาทางปกครอง
ส่วนที่กฎหมายปกครองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการท้องถิ่น คือ กฎหมายมหาชนให้อำนาจหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นในการออก กฎ ระเบียบ หรือ คำสั่งทางปกครอง หรือ การกระทำทางปกครอง หรือ สัญญาทางปกครอง
-----------------------------------------------------------------////////////////////-----------------------------------------------------------------
ข้อ  2  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้
ก)      กฎหมายมหาชนเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ข)     จงบอกความแตกต่างระหว่างระบบศาลเดี่ยวและระบบศาลคู่ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ
ก)     กฎหมายมหาชน  คือ  กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ  แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ  เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่  ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง
กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองที่เรียกว่า  การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า  กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานปกครอง  และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งปกครอง  ให้อำนาจในการออกกฎ  ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง
หน่วยงานปกครอง  ได้แก่  หน่วยงานในราชการบริหารส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  รัฐวิสาหกิจ  และหน่วยงานอื่นๆที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง  รวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับสอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  เช่น  สำนักงานรังวัดเอกชน  สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์  สภาทนายความ ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐ  ได้แก่  ข้าราชการ  พนักงานเจ้าหน้าที่  ลูกจ้าง  คณะบุคคล  หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง  ฯลฯ
การสมัครเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองก็จะต้องดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับของทางมหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งระเบียบหรือข้อบังคับของทางมหาวิทยาลัยฯนั้นถือว่าเป็น  กฎ” ที่ทางมหาวิทยาลัยฯ สามารถออกมาบังคับใช้กับนักศึกษาได้โดยอาศัยอำนาจตาม .ร.บ.  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนนั่นเอง  และถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎดังกล่าว  เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยฯซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีอำนาจสั่งไม่รับบุคคลนั้นเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯก็ได้  ซึ่งคำสั่งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่นั้นถือว่าเป็น  คำสั่งทางปกครอง” ซึ่งเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งนั้นได้ตามกฎหมายดังกล่าว
ในการเข้ารับฟังการบรรยายของท่านอาจารย์  การบรรยายของท่านอาจารย์ (การสอน) ถือว่าเป็น  การกระทำทางปกครอง” ประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่า ปฏิบัติการทางปกครอง” และการบรรยายของท่านอาจารย์ดังกล่าวก็เป็นการกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายคือ .ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้กำหนดไว้ และคำสั่งของอธิการบดีที่สั่งให้อาจารย์แต่ละท่านบรรยายวิชาต่างๆนั้น ถือว่าเป็น คำสั่งทางปกครอง” ซึ่งอธิการบดีมีอำนาจออกคำสั่งได้โดยอาศัยตามกฎหมายดังกล่าว
นอกจากนั้นในการสอบแต่ละวิชา  การประกาศผลสอบของมหาวิทยาลัยฯหรือเมื่อนักศึกษาได้ทำการศึกษาจนจบหลักสูตร  มหาวิทยาลัยฯออกปริญญาบัตรให้แก่นักศึกษา  การประกาศผลสอบและการออกปริญญาบัตรให้แก่นักศึกษาดังกล่าว  ก็ถือว่าเป็นการออก  คำสั่งทางปกครอง” ซึ่งเป็นการใช้อำนาจปกครองตามที่ .ร.บ.  มหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนได้กำหนดไว้นั่นเอง
ข)      ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ  ในระบบศาลเดี่ยวและระบบศาลคู่  มีความแตกต่างกันดังนี้คือ
ระบบศาลเดี่ยว  หมายความว่า  ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีทั้งหลายทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง  คดีอาญา  คดีปกครอง  โดยศาลจะนำหลักกฎหมายธรรมดา  (กฎหมายเอกชน)  มาปรับแก่คดี  ไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน  หรือเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน  ทั้งนี้เนื่องมาจากในประเทศที่มีระบบศาลเดี่ยวนั้น  จะไม่มีการแยกระหว่างกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบศาลเดี่ยวคือสหรัฐอเมริกา  เป็นต้น
ระบบศาลคู่  หมายความว่า  ระบบการควบคุมฝ่ายปกครองทางศาลที่มีศาลพิเศษแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม  กล่าวคือ  เป็นระบบการควบคุมฝ่ายปกครองที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น  ส่วนการวินิจฉัยขี้ขาดคดีปกครองนั้นให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง  ซึ่งมีระบบศาลและระบบผู้พิพากษาแยกต่างหากจากระบบศาลยุติธรรม  ตัวอย่างเช่น  ประเทศฝรั่งเศส  เบลเยียม  สวีเดน  ฟินแลนด์  ไทย  เป็นต้น
--------------------------------------------------------------///////////////----------------------------------------------------------
  3  จงอธิบายคำศัพท์หรือกลุ่มคำต่อไปนี้  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
-                     การรวมอำนาจและการแบ่งอำนาจ
-                    การควบคุมบังคับบัญชา
-                    การควบคุมกำกับดูแล
-                    การกระจายอำนาจ
-                    ระบบมณฑลเทศาภิบาล
ธงคำตอบ
หลักการรวมอำนาจ  คือ  หลักการปกครองที่อำนาจในการตัดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น  จะไม่มีการมอบอำนาจการตัดสินใจบางระดับบางเรื่องไปให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางที่ถูกส่งออกไปประจำอยู่ในภูมิภาค  และไม่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจตัดสินใจในระดับท้องถิ่นเลย  มีการรวมกำลังในการบังคับต่างๆ  เช่น  กำลังทหารและกำลังตำรวจให้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางทั้งสิ้น  รวมทั้งมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่  ซึ่งมีข้อดีคือ  ทำให้รัฐบาลมั่นคง  แต่มีข้อเสียคือ  เกิดความล่าช้าและขาดประสิทธิภาพในการตัดสินใจในท้องถิ่นห่างไกล  และการตัดสินใจย่อมทำได้ไม่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น  เนื่องจากผู้ตัดสินใจมิใช่คนของท้องถิ่นจึงไม่อาจรู้ถึงความต้องการของคนในท้องถิ่นเท่าที่ควร
หลักการแบ่งอำนาจ  คือ  หลักการที่รัฐมอบอำนาจในการตัดสินใจบางประการของรัฐในส่วนกลางให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นตัวแทนองรัฐ  แต่ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ในแต่ละท้องที่การปกครอง  โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในระบบบังคับบัญชาของการปกครองส่วนกลางอยู่ตลอดเวลา  เช่น  ผู้ว่าราชการจังหวัด  นายอำเภอ เป็นตัวแทนของกระทรวงมหาดไทย  ศึกษาธิการจังหวัด  ป่าไม้จังหวัด  สรรพากรจังหวัด  ฯลฯ  เป็นตัวแทนของกระทรวง  ทบวง  กรมต่างๆในส่วนกลาง  เป็นต้น  โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องรับคำสั่งจากส่วนกลางเพื่อไปปฏิบัติตามแผนและนโยบายที่ส่วนกลางได้ให้ไว้  เพียงแต่เจ้าหน้าที่เหล่านี้อาจมีอำนาจตัดสินใจในบางเรื่องบางระดับโดยไม่ต้องส่งเรื่องเข้ามาขออนุญาต  อนุมัติจากส่วนกลางเพื่อความสะดวกเท่านั้นเอง
และในการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย  ได้นำหลักการรวมอำนาจมาใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางโดยแบ่งราชการออกเป็น  กระทรวง  ทบวง  กรม  ฯลฯ  และนำหลักการแบ่งอำนาจมาใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค  โดยแบ่งราชการออกเป็นจังหวัด  อำเภอ  รวมตลอดถึงตำบลและหมู่บ้าน  โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าในส่วนภูมิภาค
การควบคุมบังคับบัญชา  คือ  อำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา  เช่น  การที่รัฐมนตีใช้อำนาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในกระทรวง  อำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใดๆก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม  สามารถกลับ  แก้  ยกเลิก  เพิกถอนคำสั่ง  หรือ  การกระทำของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น อย่างไรก็ตาม  การใช้อำนาจบังคับบัญชานี้ก็ต้องชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ใช่ว่าจะใช้ไปในทางที่เหมาะสมแต่ขัดต่อกฎหมายได้  ซึ่งการควบคุมบังคับบัญชานี้  เป็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคของคนไทยนั่นเอง
การควบคุมกำกับดูแล  คือ  การควบคุมที่ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา  แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ  จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  คือ  จะใช้ได้ต่อเมื่อกฎหมายให้อำนาจไว้และต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด  ในการควบคุมกำกับนั้น  องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติตามที่ตนเห็นสมควร องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย  ดังนั้นองค์กรควบคุมจึงเป็นแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น  ซึ่งการควบคุมกำหับดูแลนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับส่วนท้องถิ่นของไทยนั่นเอง    
หลักการกระจายอำนาจ  เป็นวิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นนอกจากองค์กรของส่วนกลาง  ซึ่งองค์กรเหล่านี้มีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้ง  และสามารถดำเนินการบริการสาธารณะได้โดยอิสระ  มีงบประมาณและเจ้าหน้าที่ของตนเอง  มีความเป็นอิสระในการจัดทำบริการสาธารณะที่ได้รับมอบหมาย  โดยไม่ต้องขอรับคำสั่งจากส่วนกลาง  ส่วนกลางเพียงแต่คอยกำกับดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยถูกต้องเท่านั้น  มิได้เข้าไปบังคับบัญชาหรืออำนวยการเอง และประเทศไทยได้นำหลักการกระจายอำนาจมาใช้ในการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน ได้แก่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  กรุงเทพมหานคร  และเมืองพัทยา
ระบบมณฑลเทศาภิบาล  คือ  ระบบแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาคในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นการปกครองโดยลักษณะที่จัดให้มีหน่วยราชการบริหารอันประกอบด้วย ตำแหน่งข้าราชการต่างพระเนตพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและเป็นที่ ไว้วางใจของรัฐบาลของพระองค์  รับแบ่งภาระของรัฐบาลซึ่งประจำอยู่แต่เฉพาะในราชธานี  (ส่วนกลาง)  นั้นออกไปดำเนินการ  (ไปทำหน้าที่แทนรัฐบาลกลาง)  ในส่วนภูมิภาคของประเทศซึ่งอยู่ห่างไกลจากรัฐบาลซึ่งอยู่ในราชธานีให้ได้ใกล้ชิดกับอาณาประชากร  เพื่อให้เขาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขและเกิดความเจริญทั่วถึงกัน  โดยมีระเบียบแบบแผนอันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ  จึงแบ่งเขตปกครองโดยขนาดลดหลั่นกันเป็นชั้นอันดับดังนี้คือ  ใหญ่ที่สุดเป็นมณฑล  รองถัดลงไปเป็นเมือง  (หรือจังหวัด)  รองไปอีกเป็นอำเภอ ตำบล  และหมู่บ้าน  มีการจัดแบ่งหน้าที่ราชการเป็นส่วนสัดแผนกงานให้สอดคล้องกับทำนองการของกระทรวง  ทบวง  กรม  ในราชธานี  และจัดสรรข้าราชการที่มีความรู้สติปัญญา  ความประพฤติดี  ให้ไปประจำทำงานตามตำแหน่งหน้าที่  มิให้มีการก้าวก่ายสับสนกันดังที่เป็นมาแต่ก่อน  โดยมีการกำหนดข้าราชการผู้รับผิดชอบ  ดังนี้คือ
(1)    มณฑล  ให้ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบ
(2)   เมือง  ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ
(3)   อำเภอ  ให้นายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ
(4)   ตำบล  ให้กำนันเป็นผู้รับผิดชอบ
(5)   หมู่บ้าน  ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ
-------------------------------------------------------/***********************--------------------------------------------------------

ข้อ  1  จงอธิบายความสัมพันธ์ของการควบคุมบังคับบัญชากับการกำกับดูแลว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรต่อการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย
ธงคำตอบ
ความสัมพันธ์ของการควบคุมบังคับบัญชา  กับการกำกับดูแลมีความเกี่ยวข้องต่อการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย  ดังนี้คือ
การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทย  ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ.2534  แบ่งออกเป็น  3  ส่วน  คือ  ราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  และส่วนท้องถิ่น
ราชการส่วนกลาง  ประกอบด้วย  กระทรวง  ทบวง  กรม  เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการรวมอำนาจ  โดยการปกครองแบบนี้อำนาจในการตัดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น  มีการรวมกำลังในการบังคับต่างๆ  ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง และมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน
ราชการส่วนภูมิภาค  ประกอบด้วย  จังหวัด  อำเภอ  กิ่งอำเภอ  ตำบล  หมู่บ้าน เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการแบ่งอำนาจ  ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ส่วนกลางมอบอำนาจตัดสินใจบางประการให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนภูมิภาค  โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในบังคับบัญชาของส่วนกลางตลอดเวลา
ราชการส่วนท้องถิ่น  ประกอบด้วย  อบจ.  อบต.  เทศบาล  พัทยา  และกรุงเทพมหานคร  เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการกระจายอำนาจ  โดยรัฐจะมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรส่วนกลาง  หรือส่วนภูมิภาค  เพื่อจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง  โดยจะมีอิสระตามสมควรไม่ต้องขึ้นอยู่ในการบังคับบัญชาของส่วนกลาง  เพียงแต่ขึ้นอยู่ในการกำกับดูแลเท่านั้น
การควบคุมบังคับบัญชา  คือ  อำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา  เช่น  การที่รัฐมนตีใช้อำนาจบังคับบัญชาเหนือเจ้าหน้าที่ทั้งหลายในกระทรวง อำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใดๆก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสม  สามารถกลับ  แก้  ยกเลิก  เพิกถอนคำสั่ง  หรือ  การกระทำของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ  เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น  อย่างไรก็ตาม  การใช้อำนาจบังคับบัญชานี้ก็ต้องชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ใช่ว่าจะใช้ไปในทางที่เหมาะสมแต่ขัดต่อกฎหมายได้  ซึ่งการควบคุมบังคับบัญชานี้  เป็นลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคของคนไทยนั่นเอง
การควบคุมกำกับดูแล  คือ  การควบคุมที่ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา  แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ  จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  คือ  จะใช้ได้ต่อเมื่อกฎหมายให้อำนาจไว้และต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด  ในการควบคุมกำกับนั้น  องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติตามที่ตนเห็นสมควร องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับย่อมมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย  ดังนั้นองค์กรควบคุมจึงเป็นแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น  ซึ่งการควบคุมกำหับดูแลนี้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับส่วนท้องถิ่นของไทยนั่นเอง
---------------------------------------------------------////////////////////////////---------------------------------------------------
ข้อ  2  การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ  คือ  การควบคุมสิ่งใด  และที่ว่าดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  หมายถึงอะไร  จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ธงคำตอบ
การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ  หมายถึง  การควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  องค์กรของรัฐ  หน่วยงานของรัฐนั่นเอง  ซึ่งการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ  มีได้  2  รูปแบบ  คือ
1.      อำนาจผูกพัน   คือ  อำนาจหน้าที่ที่องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐต้องปฏิบัติเมื่อมีข้อเท็จ จริงอย่างใด ๆ เกิดขึ้นตามที่กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ได้บัญญัติกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนี้ องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่ง และคำสั่งนั้นต้องมีเนื้อความเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น เรื่องการร้องขอจดทะเบียนสมรสเมื่อชายและหญิงผู้ร้องขอมีคุณสมบัติครบถ้วน และปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการสมรสที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์แล้ว นายทะเบียนครอบครัวจะต้องทำการจดทะเบียนสมรสให้แก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนสมรส เสมอ เป็นต้น 

2.    
 อำนาจดุลพินิจ  อำนาจดุลพินิจแตกต่างกับอำนาจผูกพันข้างต้น  กล่าวคือ อำนาจดุลพินิจเป็นอำนาจที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ หรือองค์กรฝ่ายปกครองของรัฐสามารถเลือกตัดสินใจออกคำสั่งหรือสั่งการใดๆ ได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งหมาย หรือเจตนารมณ์ของกฎหมาย  กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจดุลพินิจ ก็คือ อำนาจที่กฎหมายเปิดช่องให้องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐมีอิสระในการตัดสินใจเมื่อมีเหตุการณ์หรีอมีข้อเท็จจริงใด ๆ กำหนดไว้เกิดขึ้น
เหตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวก็เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค  รัฐ  หน่วยงานของรัฐ  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  มีอำนาจเหนือประชาชนหากไม่มีการควบคุม  เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐอาจใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  คือ  การที่เจ้าหน้าที่รัฐ  องค์กรของรัฐ  หน่วยงานของรัฐ  กระทำการหรืองดเว้นกระทำการใช้อำนาจที่มีอยู่ตามกฎหมาย  หรือใช้อำนาจนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย  อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน  ตัวอย่างเช่น
(1)   กระทำการข้ามขั้นตอน  เช่น  ในกรณีกฎหมายบัญญัติให้ก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องสำคัญๆ  จะต้องถามความเห็นประชาชนก่อน แต่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร  ดำเนินการต่างๆโดยไม่ถามความเห็นของประชาชนก่อน  ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้โต้แย้ง  ถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอน  เพราะการนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้ประชาชนเดือดร้อน
(2)  กระทำการโดยปราศจากอำนาจ  เช่น  กฎหมายไม่ได้กำหนดหรือมอบอำนาจและหน้าที่ในการอนุมัติ  อนุญาตให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งเจ้าพนักงานธุรการ  แต่เจ้าพนักงานธุรการผู้นั้นไปดำเนินการอนุมัติ  หรืออนุญาตแทนปลัดอำเภอโดยไม่มีอำนาจ
(3)  กระทำการผิดแบบ  เช่น  การออกคำสั่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางกรณีกฎหมายบัญญัติให้ออกเป็นหนังสือ  แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับไปออกคำสั่งด้วยวาจา  ย่อมเป็นการทำผิดแบบที่กฎหมายกำหนด (4)  กระทำการนอกวัตถุประสงค์ของกฎหมาย  เช่น  การที่ผู้บังคับบัญชานำเรื่องการย้ายการโอนมาเป็นการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา  เป็นการผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมาย  เพราะเรื่องการย้ายการโอนข้าราชการสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ต่อตัวข้าราชการเอง  มิใช่สร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษแก่ตัวราชการผู้นั้น
(5)  กระทำการโดยการสร้างภาระให้ประชาชน  เช่น  เจ้าหน้าที่ของรัฐไปสร้างภาระด้านค่าใช้จ่ายหรือไปกำหนดให้ประชาชนกระทำการใดๆ  เพื่อเติมโดยไม่มีความจำเป็น
(6)  กระทำการโดยมีอคติหรือไม่สุจริต  เช่น  กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการสั่งปิดโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำลำคลองได้เพียง 1  เดือน  แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐกลับสั่งปิดโรงงานดังกล่าวถึง  2  เดือน  เพราะเคยมีปัญหาส่วนตัวกันมาก่อน  ย่อมเป็นการใช้อำนาจโดยมีอคติ
และการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น  แบ่งออกเป็น  2  รูปแบบ  ได้แก่
1       การควบคุมแบบป้องกัน  หมายถึง  ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทางปกครอง  ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะมีระบบป้องกันเสียก่อน  กล่าวคือ  มีกฎหมายกำหนดกระบวนการ หรือขั้นตอนต่างๆก่อนที่จะมีคำสั่งออกไป
การควบคุมแบบป้องกัน  จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุมโดยทางศาล  เพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง  ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น  อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย
2       การควบคุมแบบแก้ไข  หรือการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง  หลังการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว  และเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางการปกครองนั้นขึ้น  จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้
วิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุด  คือ  การควบคุมแบบแก้ไข  (ภายหลัง)  ที่เรียกว่าใช้ระบบตุลาการ  (ศาลคู่)  นั่นคือ  ศาลปกครอง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีระบบการพิจารณาที่ใช้ศาล  และมีกฎหมายรองรับทำให้การพิจารณาพิพากษาเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยิ่ง  อาทิเช่น  กฎหมายจัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.2542  กฎหมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.2539  กฎหมายว่าด้วยความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ  พ.ศ.2539
-------------------------------------------------------------////////////////////////////--------------------------------------------------
ข้อ  3  กฎหมายมหาชนคืออะไร  มีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น  เช่น  รัฐศาสตร์อย่างไร  จงอธิบาย
ธงคำตอบ
ความหมายของกฎหมายมหาชนนั้น  มีผู้ให้คำนิยามไว้หลากหลาย  ทั้งนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของต่างประเทศ  รวมทั้งนักกฎหมายของไทย  แต่โดยนัยแห่งความหมายแล้วมีความคล้ายคลึงกัน  ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า
กฎหมายมหาชน  คือ  กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายเกี่ยวข้องกับ  สถานะและอำนาจ  ของรัฐและ ผู้ปกครอง  รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและ  ผู้ปกครองกับพลเมือง  ผู้อยู่ใต้ปกครองในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน
จากความหมายของกฎหมายมหาชนที่ได้กล่าวมาข้างต้น  จะเห็นได้ว่า  กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างมาก  เพราะว่าในเรื่องของการปฏิรูปการเมืองการปกครอง  การปฏิรูปทุกๆด้านในประเทศไทยของเราในปัจจุบันนี้  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ใช้อำนาจของรัฐเข้าไปจัดการแก้ไข  ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่องต่างๆเหล่านี้ให้ดีขึ้น  ประชาชนในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐ  จะต้องอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของรัฐ  ซึ่งรัฐที่ปกครองด้วยระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยนั้น  จะต้องมีหลักการปกครองที่ยึดหลักการปกครองโดยกฎหมายหรือว่าหลักนิติรัฐ  ดังนั้น  กฎหมายมหาชนจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประชาชน  เพราะว่าเรื่องของกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐ  ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่รัฐมีอำนาจเหนือราษฎร  เพราะฉะนั้นประชาชนจึงเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนด้วย  เพราะประชาชนจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐนั่นเอง
กล่าวโดยสรุป
 กฎหมายมหาชนนั้น  จะต้องเป็นกฎหมายที่กำหนดถึงสถานะและอำนาจของรัฐ
กฎหมายมหาชนนั้น  จะต้องเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพลเมือง
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองนั้น  จะมีลักษณะที่รัฐมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง  ซึ่งเป็นเอกชนและอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐ
ส่วนรัฐศาสตร์นั้น  คือ  ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของรัฐ  อำนาจ  และการปกครอง  รัฐศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับรัฐ  กำเนิด  และวิวัฒนาการของรัฐ  รัฐในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  และยังศึกษาถึงองค์การทางการเมือง  สถาบันทางการปกครอง  ตลอดจนอำนาจในการปกครองรัฐ  วิธีการดำเนินการต่างๆของรัฐ  รวมทั้งแนวความคิดทางการปกครองและทางการเมืองในรัฐด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้นว่า  รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวกับรัฐโดยทั่วไป  แต่โดยที่รัฐบัญญัติกฎหมาย  และกฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐที่จะนำไปใช้รักษาความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ  ทำนุบำรุงให้ราษฎรมีความสุข  ดังนั้น
กฎหมายมหาชนและรัฐศาสตร์จึงเป็นศาสตร์สองศาสตร์ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก  เพราะกฎหมายมหาชนจะศึกษาเรื่องรัฐ  อำนาจรัฐ รัฐธรรมนูญ  และศึกษาสถาบันการเมืองของรัฐ  มีเนื้อหาเน้นการศึกษาทางทฤษฎี  แนวความคิดในเรื่องรัฐอยู่มาก  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของกฎหมายกับรัฐศาสตร์เป็นอย่างดี  เห็นได้จากการศึกษากฎหมายรัฐธรรมนูญ  และการศึกษาเกี่ยวกับสถาบันการเมืองของรัฐก็ต้องเกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์  แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายมหาชนยังต้องศึกษาในด้านนิติศาสตร์อยู่อีกมาก  ศึกษาบทบัญญัติของกฎหมายมิใช่เป็นการศึกษาทางรัฐศาสตร์ล้วนๆ
------------------------------------------------------/////////////////--------------------------------------------------------------------
ข้อ  2  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้
ก)      กฎหมายมหาชนเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
ข)     จงบอกความแตกต่างระหว่างระบบศาลเดี่ยวและระบบศาลคู่ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ก)     กฎหมายมหาชน  คือ  กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ  แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ  เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่  ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองที่เรียกว่า  การจัดระเบียบราชการบริหาร”  รวมทั้งการวางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า  บริการสาธารณะ”  ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า  กฎหมายปกครอง  เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานปกครอง  และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งปกครอง  ให้อำนาจในการออกกฎ  ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง
หน่วยงานปกครอง  ได้แก่  หน่วยงานในราชการบริหารส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  รัฐวิสาหกิจ  และหน่วยงานอื่นๆที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง  รวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ใช้อำนาจหรือได้รับสอบให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  เช่น  สำนักงานรังวัดเอกชน  สถานที่ตรวจสภาพรถยนต์  สภาทนายความ ฯลฯ
เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐ  ได้แก่  ข้าราชการ พนักงานเจ้าหน้าที่  ลูกจ้าง  คณะบุคคล  หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง  ฯลฯ
การสมัครเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองก็จะต้องดำเนินการตามระเบียบข้อบังคับของทางมหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งระเบียบหรือข้อบังคับของทางมหาวิทยาลัยฯนั้นถือว่าเป็น  กฎ”  ที่ทางมหาวิทยาลัยฯ  สามารถออกมาบังคับใช้กับนักศึกษาได้โดยอาศัยอำนาจตาม  พ.ร.บ.  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนนั่นเอง  และถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎดังกล่าว  เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยฯซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีอำนาจสั่งไม่รับบุคคลนั้นเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฯก็ได้  ซึ่งคำสั่งดังกล่าวของเจ้าหน้าที่นั้นถือว่าเป็น  คำสั่งทางปกครอง”  ซึ่งเจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งนั้นได้ตามกฎหมายดังกล่าว
ในการเข้ารับฟังการบรรยายของท่านอาจารย์  การบรรยายของท่านอาจารย์ (การสอน) ถือว่าเป็น  การกระทำทางปกครอง”  ประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่า  ปฏิบัติการทางปกครอง”  และการบรรยายของท่านอาจารย์ดังกล่าวก็เป็นการกระทำตามหน้าที่ที่กฎหมายคือ  พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ได้กำหนดไว้  และคำสั่งของอธิการบดีที่สั่งให้อาจารย์แต่ละท่านบรรยายวิชาต่างๆนั้น  ถือว่าเป็น  คำสั่งทางปกครอง”  ซึ่งอธิการบดีมีอำนาจออกคำสั่งได้โดยอาศัยตามกฎหมายดังกล่าว
นอกจากนั้นในการสอบแต่ละวิชา  การประกาศผลสอบของมหาวิทยาลัยฯหรือเมื่อนักศึกษาได้ทำการศึกษาจนจบหลักสูตร  มหาวิทยาลัยฯออกปริญญาบัตรให้แก่นักศึกษา  การประกาศผลสอบและการออกปริญญาบัตรให้แก่นักศึกษาดังกล่าว  ก็ถือว่าเป็นการออก  คำสั่งทางปกครอง”  ซึ่งเป็นการใช้อำนาจปกครองตามที่  พ.ร.บ.  มหาวิทยาลัยฯ  ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองและกฎหมายมหาชนได้กำหนดไว้นั่นเอง
ข)      ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ  ในระบบศาลเดี่ยวและระบบศาลคู่  มีความแตกต่างกันดังนี้คือ
ระบบศาลเดี่ยว  หมายความว่า  ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีทั้งหลายทั้งปวง  ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง  คดีอาญา  คดีปกครอง  โดยศาลจะนำหลักกฎหมายธรรมดา  (กฎหมายเอกชน)  มาปรับแก่คดี  ไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน  หรือเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับเอกชน  ทั้งนี้เนื่องมาจากในประเทศที่มีระบบศาลเดี่ยวนั้น  จะไม่มีการแยกระหว่างกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบศาลเดี่ยวคือสหรัฐอเมริกา  เป็นต้น
ระบบศาลคู่  หมายความว่า  ระบบการควบคุมฝ่ายปกครองทางศาลที่มีศาลพิเศษแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม  กล่าวคือ  เป็นระบบการควบคุมฝ่ายปกครองที่ให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดเฉพาะคดีแพ่งและคดีอาญาเท่านั้น  ส่วนการวินิจฉัยขี้ขาดคดีปกครองนั้นให้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง  ซึ่งมีระบบศาลและระบบผู้พิพากษาแยกต่างหากจากระบบศาลยุติธรรม  ตัวอย่างเช่น  ประเทศฝรั่งเศส  เบลเยียม  สวีเดน  ฟินแลนด์  ไทย  เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น